วันพุธที่ 29 สิงหาคม พ.ศ. 2550

ไหว้พระเก้าวัดในกรุงเทพ

เมื่อสองสามวันก่อนผมได้คุยกับเจ๊ (ไม่ต้องสงสัยว่าเจ๊เป็นใครรู้แค่ว่าเจ๊เป็นผู้หญิงคนนึงก้อพอ อิอิ) ว่าผมอยากไปเดินสายไหว้พระเก้าวัด แต่ไม่ต้องไปไกลถึงต่างจังหวัดเอาแค่ในกรุงเทพก้อพอ ยังไม่ทันจะบรรยายรายละเอียดเลย เจ๊ตอบรับทันที (ง่ายจริงๆ เจ๊เรา คิคิ) ...

และแล้ววันนี้ก้อมาถึง อากาศเป็นใจมากพอสมควรเพราะไม่มีแดดเปรี้ยง ๆ ไม่ทำให้ร้อนมากมาย การเดินสายไหว้พระในครั้งนี้ผมเริ่มต้นที่ท่าเรือปากคลองตลาด ข้ามเรือจากท่าปากคลองตลาดเสียค่าเรือคนละ 3 บาทเพื่อข้ามไปยังวัดแรกคือ วัดกัลยาณมิตร (คติ: เดินทางปลอดภัย และมีเพื่อนดีมีมิตรแท้) เพื่อนมัสการหลวงพ่อซำปอกง (พระพุทธไตรรัตนนายก) และพระโตริมน้ำ

จากนั้นผมกับเจ๊ก้อออกเดินทางต่อไปยังวัดอรุณราชวราราม (คติ: ชีวิตรุ่งโรจน์ทุกคืนวัน) อ้อผมขอบอกก่อนน๊ะว่าถ้าใครไปนั่งอ่านข้อมูลในเน็ตบางทีเค้าจะบอกว่าเดินจากวัดกัลยาฯไปวัดอรุณได้เลยใกล้กันนิดเดียว อันนี้ผมไม่ค่อยจะอยากให้เดินน๊ะ เพราะว่าผมเคยลองเดินมาแล้วเมื่อครั้งเดินสายไหว้พระครั้งก่อน (ประมาณบิดเสื้อเป็นน้ำได้เลย) เมื่อมาถึงแล้วผมกับเจ๊ก้อนมัสการพระปรางค์วัดอรุณและพระพุทธรูปเป็นอันเสร็จพิธี (รอบนี้ไม่มีเวลาชื่นชมความสวยงามนานเท่าไร)

เมื่อออกจากวัดอรุณฯแล้ว ก้อได้เดินทางต่อไปยังวัดระฆังโฆษิตาราม (คติ: มีคนนิยมชมชอบและมีชื่อเสียงดีขจรไกล) เพื่อนมัสการสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) และอ่านพระคาถาชินบัญชร เพื่อเสริมสิริมงคลให้แก่ชีวิต

จากนั้นก้อทำการข้ามเรือที่ท่าน้ำหน้าวัดไปยังท่าวังหลังเพื่อไปยังวัดพระแก้ว (คติ: มีแก้วแหวนเงินทองไหลมาเทมา เงินทองเพิ่มพูน) สำหรับที่นี่บทหนักจะตกไปอยู่กับเจ๊มากหน่อยเพราะว่าต้องเดินค่อนข้างเยอะเหมือนกันกว่าจะไปถึงที่นมัสการ ผมล่ะลุ้นเจ๊ว่าจะเป็นลมไปก่อนหรือเปล่าตั้ง 2-3 รอบ (แต่ไม่เป็นไรเพราะเจ๊อึด!!!)

เสร็จจากวัดพระแก้ว ผมกับเจ๊ได้พักยกทานข้าวกันที่หน้าวัดโพธิ์ แล้วจึงเข้าไปนมัสการพระนอนขนาดใหญ่ที่วัดโพธิ์ (คติ: ชีวิตร่มเย็นเป็นสุขดังอยู่ใต้ร่มโพธิ์) พระนอนที่นี่องค์ใหญ่มากและมีความสวยงามมาก มาอีกครั้งยังคงสัมผัสได้ถึงความสวยงามและความสงบได้อยู่เสมอ

ศาลหลักเมืองเป็นเป้าหมายต่อไป (คติ: ตัดเคราะห์ต่อชะตา และชีวิตมีหลักมีฐานมั่นคง) มาครั้งนี้นอกจากที่จะได้บูชาศาลหลักเมืองแล้วยังได้บูชาเทพอีก 5 องค์ คือ พระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระกาฬไชยศรี เจ้าเจตคุปต์ และเจ้าหอกลอง เพื่อความเป็นสิริมงคล

จากศาลหลักเมืองผมกับเจ๊ก้อเดินทางต่อไปยังวัดชนะสงคราม (คติ: เพื่อความมีชัยต่อศัตรูและผู้คิดร้าย) แต่ละหว่างทางผ่านศาลเจ้าพ่อเสือ (คติ: มีอำนาจและบารมี) ผมเองไม่รู้สังหรณ์อะไรบางอย่างจึงบอกเจ๊ว่าให้ไหว้ที่นี่ก่อนแล้วกัน แล้วเด๋วค่อยไปที่วัดชนะสงคราม ... ผมว่าผมคิดถูกน๊ะเพราะว่าเมื่อได้ไหว้เจ้าพ่อเสือและเจ้าพ่อใหญ่เรียบร้อยแล้ว ฝนก้อเทลงมาแบบประมาณว่าไล่ผมกับเจ๊ขึ้นรถกันแทบไม่ทัน จากนั้นฝนก้อไล่หลังไปจนถึงวัดชนะสงคราม แต่ฝนเองก้อเทลงมาแบบไม่หยุดเหมือนกันทำให้ผมกับเจ๊ต้องติดฝนอยู่ที่วัดนานอยู่เหมือนกัน เจ๊เองก้ออยากจะกลับบ้านแล้วเหมือนกันเพราะเหนื่อยมาตั้งแต่วัดพระแก้วแต่ฝนฟ้าไม่เป็นใจเลย ผมเองเลยเข้าไปอธิษฐานกับองค์หลวงพ่อว่าขอให้ฝนซาหรือหยุด เพื่อจะได้ไปนมัสการยังวัดสุดท้าย และเจ๊จะได้กลับบ้านไปพักผ่อนด้วย (สงสารเจ๊เหลือเกิน) จากนั้นไม่นานฝนก้อซาและหยุดไปในที่สุด ผมเชื่อว่าเป็นความศักดิ์สิทธิ์ของหลวงพ่อวัดชนะสงครามน๊ะ

ระหว่างที่รอฝนหยุดตกนั้นผมก้อถามเจ๊ว่าวัดสุดท้ายเจ๊จะไปยังเทวะสถานเพื่อไปนมัสการพระพรหม (เทพผู้สร้าง) พระศิวะ (เทพผู้ทำลาย) และพระพิฆเนศ (เทพแห่งความสำเร็จและศิลปศาสตร์) หรือว่าจะไปวัดสุทัศน์ (คติ: มีวิสัยทัศน์ที่ดี) เจ๊เลือกที่จะไปที่เทวะสถานณ์เป็นวัดสุดท้าย

ระหว่างการเดินทางผมกับเจ๊โดยสารทั้งตุ๊ก ๆ (สามล้อ) และแท็กซี่ แถมยังมีอาหารกลางวัน 1 มื้อย่อม ๆ เราใช้งบประมาณตกคนละไม่ถึง 500 บาท อันนี้รวมค่าธูปเทียนในการบูชาในแต่ละวัดแล้วน๊ะ สำหรับทริปนี้ถือว่าอิ่มบุญ รับสิริมงคล กับงบประมาณก้อนเล็ก ๆ ซึ่งไม่แพงเลยผมว่าน๊ะ .. แถมยังมีความภูมิใจในความเป็นคนไทย เพราะว่าหลาย ๆ วัดที่เข้าไปนั้นคนไทยไม่ต้องเสียเงิน (รู้สึกว่าเป็นอภิสิทธิ์ชน) ในขณะที่ชาวต่างชาติต้องเสียเงิน ^_^

ไม่มีความคิดเห็น: